สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้บันทึกสรุปไว้ว่า ชนผู้ไทอำเภอเรณูนคร นั้น เดิมมีถิ่นฐานอยู่ที่เมืองแถงและเมืองไถ อันเป็นเมืองแรกในประวัติศาสตร์เป็นเมืองไทยที่ใหญ่มากในแคว้นสิบสองจุไทย ขณะนั้นเป็นอาณาจักรขึ้นตรงต่อาณาจักรน่านเจ้า และสุโขทัยในเวลาต่อมา
เมืองแถงและเมืองไถ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าเขาไม่อุดมสมบูรณ์ ประกอบกับอยู่ในภาวะหมายปองของประเทศใกล้เคียงถึง 3 ประเทศ คือ หลวงพระบาง จีน และญวน ซึ่งต่างก็พยายามจะเข้าไปมีอิทธิพลครอบครองเมืองทั้งสอง
เมื่อผู้ไทย เมืองแถง และเมืองไถ ซึ่่งเป็นหัวเมืองชั้นนอกถูกรุกรานมาก ๆ เข้าก็พากันอพยพมาอยู่ที่เมือง " น้ำน้อยอ้อยหนู" มีท้าวก่าเป็นหัวหน้า ซึ่งเป็นเมืองในสิบสองจุไทย (ปัจจุบันอยู่ทางทิศเหนือของพม่าและตอนใต้ของจีน)
ต่อมาเมืองน้ำน้อยอ้อยหนูอัตคัดอดอยาก ประกอบกับท้าวก่าไม่พอใจกับเจ้าเมืองน้ำน้อยอ้อยหนู จึงทำให้ผู้ไทยเหล่านั้นอพยพขึ้นไปกับ อนุรุทกุมาร เจ้าเมืองเวียงจันทร์ เจ้าอนุรุทกุมาร จึงสั่งให้ท้าวก่านำชาวผู้ไทยเหล่านั้นไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองวัง (ปัจจุบันอยู่ในแขวงสุวรรณเขต) เมืองวังพวกนี้พวกข่าปกครองอยู่ พวกข่าพยายามเข้าปกครองชาวผู้ไทยด้วยแต่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมจึงเกิดการแข่งขันยิงธนู โดยมีข้อตกลงว่า้ ถ้่้าฝ่ายใดยิงธนูไปติดกับหน้าผาหินได้จะเป็นฝ่ายชนะ ปรากฏว่าฝ่ายผู้ไทยชนะ เพราะฉลาดกว่าโดยนำเอาสูตร (ชันมะโรง) มาใส่ไว้ในหัวธนูจึงทำให้ชนเผ่าผู้ไทยได้ปกครองพวกข่าตั้งแต่นั้นมา โดยมีท้าวก่าเป็นผู้ปกครอง ต่อมาท้าวก่าตาย พระยาเตโชเป็นเจ้าปกครองแทน ต่อมาพระยาเตโชถูกศัตรูจับไป ท้่้้าวเพชรและท้าวสาย บุตรของพระยาเตโชได้นำชาวผู้ไทยเหล่านั้น อพยพหนีอีกครั้งหนึ่งโดยข้ามแม่น้ำโขงมาพักที่ค่าย "โพธิ์สามต้น" (ปัจจุบันคือบ้านพระกลางทุ่ง ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม) ต่อมาได้อพยพไปอยู่ที่หนองหารจังหวัดสกลนคร แต่อยู่ไม่นานเพราะเด็ก ผู้ใหญ่พากันล้มป่ายเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเคยอยู่แต่ในป่าไม่เคยอยู่ทุ่งโล่ง จึงพากันอพยพกลับค่ายโพธิ์สามต้น
ต่อมาชาวผู้ไทยได้ไปนมัสการถามเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมถึงที่จะตั้งหมู่้บ้านใหม่ที่เหมาะสม เจ้าอาวาสจึงได้ให้ไปถาม "ความช้างบักเอก" ถึงทีัี่ตั้งทำเลดังกล่าว จึงได้รับคำแนะนำไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่หนองหวาย ซึ่งมีห้วยบ่อแกไหลผ่าน จึงให้ชื่อหมู่บ้านครั้งแรกว่า "บ้านดงหวาย สายบ่อแก" ต่อมาชาวผู้ไทยได้อพยพมาจากเมืองวังมาตั้งบ้านเรือนสมทบเพิ่มขึ้นอีก บ้านเรือนที่ตั้งเพิ่มขึ้นอีักนั้นตั้งวกไปเวียนมาไม่เป็นระเบียบ จึงเรียกชื่อใหม่ว่า "บ้านเมืองเว" ในรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีเจ้านายและเจ้ากรรมเมืองเสด็จมาเห็นว่าในบริเวณใกล้บ้านเมืองเวมีหนองน้ำใหญ่ชื่่อ หนองลาดควาย อยู่หนองหนึ่งมีดอกบัวขึ้นอยู่้เต็ม ดอกบานสะพรั่งเลยเอานามดอกบัวนี้มาพระราชทานนามเมืองนี้ว่า "เรณูนคร" มีเจ้าเพชรเป็นเจ้าเมือง ตั้งชื่อว่าพระแก้วโกพล ต่อมารัชกาลที่ 5 เมืองเรณูนคร ได้ยกฐานะเป็นอำเภอมีหลวงยุทธกิจเป็นนายอำเภอ ต่อมาท้าวก่าเตโชได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอแทนหลวงยุทธกิจ
ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาตรวจราชการที่อำเภอเณูนครเห็นว่าอำเภอเรณูนครนี้อยู่ห่างไกลแม่น้ำไปมาลำบาก และชัยภูมิบ้านธาตุพนมเป็นที่เหมาะสมรวมทั้งมีพระธาตุพนมอันเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย จึงได้ย้ายอำเภอไปตั้งใหม่ เรียกว่า "อำเภอธาตุพนม" ตั้งแต่ พ.ศ. 2453 อำเภอเรณูนครจึงลดฐานะเป็นตำบล อยู่ในเขตปกครองของอำเภอธาตุพนม
ต่อมาวันที่ 1 พฤษภาคม 2513 ทางราชการได้ประกาศยกฐานะตำบลเรณูนครขึ้นเป็นกิ่งอำเภอเรณูนคร เมื่่อวันที่ 22 สิงหาคม 2518 ทางราชการประกาศยกฐานะของกิ่งอำเภอเรณู เป็นอำเภอเรียกว่า "อำเภอเรณูนคร" จนกระทั่งทุกวันน
ี้
อาณาเขติดต่อและเส้นทางคมนาคม
ที่ตั้ง อำเภอเรณูนครตั้งอยูู่่่ทางทิศใต้ของจังหวัดนครพนม ห่างจากจังหวัดนครพนม 50 กิโลเมตร และัห่างจากอำเภอธาตุพนม 15 กิโลเมตร สูงกว่าระดับน้ำทะเล 150 เมตร โดยอาศัยเส้นทางหลวงแผ่นดิน ผิวถนนลาดยางตลอดเส้น
อาณาเขต มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอต่าง ๆ ดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอเมืองนครพนม
ทิศใต้ ติดต่อกับเขตอำเภอนาแก
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอธาตุพนม
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอนาแก
ขนาด อำเภอเรณูนครมีพื้นที่ประมาณ 257.76 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบ ไม่มีป่าไม้ ภูเขาและแม่น้ำ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญเพราะพื้นที่ทั้งหมดเป็นที่ราบเหมาะแก่การเพาะปลูกเท่านั้น
สภาพภูมิประเทศ
สภาพท้องที่อำเภอเรณูนครเป็นที่ราบ พื้นที่ส่วนใหญ่ใช้ในการทำนา ไม่อยู่ในเขตชลประทาน เขตสูบน้ำด้วยไฟฟ้า การใช้น้ำส่วนมากใช้น้ำใต้ดินเพื่อการเกษตร
ลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทราย พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินชุดเรณู และดินชุดนครพนม